Enter Slide 1 Title Here

Go to Template. Click on Edit HTML. Replace these texts with your own description. This template was designed by NewBloggerThemes.com ...

Enter Slide 2 Title Here

Go to Template. Click on Edit HTML. Replace these texts with your own description. This template was designed by NewBloggerThemes.com ...

Enter Slide 3 Title Here

Go to Template. Click on Edit HTML. Replace these texts with your own description. This template was designed by NewBloggerThemes.com ...

Enter Slide 4 Title Here

Go to Template. Click on Edit HTML. Replace these texts with your own description. This template was designed by NewBloggerThemes.com ...

            เรามักจะมีความคิดดีๆ เกิดขึ้นอยู่เกือบตลอดเวลา 

แต่รู้ใช่ใหม? พอไม่นานมันก็หายไป

มันหายไปใหน?

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นภายหลังเมื่อเราต้องการใช้ความคิดนั้น?

มีคนตอบว่า มันเป็นความรู้แบบเฉียบพลัน

แล้วหลังจากนั้น เราก็จะลืม

ถ้าเราไม่ยอมทำอะไรสักอย่างกับความคิดนั้น

          เคยเป็นแบบนี้รึเปล่า? 

มีคำแนะนำง่ายๆ 

สิ่งที่เราต้องทำคือ เตรียมตัวเสมอ

ปากกา 1 ด้าม กับกระดาษสักแผ่น

"ไม่จำเป็นว่า จะเป็นปากกาที่ดีหรือกระดาษที่ดี 

แต่ว่ามันสามารถจดความคิดดีๆ ของเราได้ก็พอ"

......................................

ความคิดดี ๆ มักจะเกิดขึ้น ในตอนที่จิตของเรา
เริ่มปล่อยวาง จากสิ่งทั้งหลาย 

แล้วบางทีความคิด ดี ๆ ก็เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วลัดปลายนิ้ว

ถ้าเรารู้จักวิธีรักษาอาการหรือลักษณะที่เกิดขึ้นไว้ได้ 
นั้นแหละเราเรียกว่า สมาธิ คือจิตใจตั้งมั่นในอารมย์
ที่มันขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ

และสิ่งที่เกิดตามมาในขณะชั่วกระพริบตาคือปัญญา
เป็นความรู้แจ้งในสิ่งทั้งหลาย อาจจะยังไม่ทั้งหมด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิคือจิตของเราตั้งมั่่นพียงพอ
และความรู้คือปัญญา ที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ

ตราบเท่าที่เรายังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นๆ



คนมีปัญญาดี หากเป็นคนดีด้วย
ก็ยิ่งดี
แต่ว่าถ้าขาดคุณธรรมขึ้นมานี่ ก็ทำให้คนอื่นลำบากได้ง่ายๆ

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญา ในระดับปริญญาตรี โท เอก 
อย่างไรเสียก็เป็นปัญญาชั้นสามัญชนคนธรรมดาที่ยังหนาแน่นด้วยความทยานยาก

"ซึ่งแตกต่างจากปัญญาในทางธรรม"


แต่ความรู้ในระดับปริญญาตรี โท เอกนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ
เพราะต้องอาศัยคุณธรรมคือความเพียรพยายามที่สูงตามลำดับ

แต่ทะวา เราจะเห็นว่า บางคนจบสูงเป็นถึงขนาดดอกเตอร์
ก็มีความประพฤติเสียหายได้
มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทั่วไปในสังคม

ถึงกระนั้น มาดูคนที่มีการศึกษาน้อย 
หลายคนก็มีความประพฤติเสียหาย
ไม่น้อยกว่าคนที่จบความรู้ขั้นสูงเลย

แล้วอะไรหล่ะครับ? 
ที่เป็นสิ่งหรือตัวอะไรสักอย่าง
ที่จะมาวัดระดับความดีของคน ๆหนึ่งได้

จะว่าการศึกษาหรือ ก็ไม่ใช่
เพราะว่าตัวอย่างทั้งคนที่มีการศึกษาที่สูง
และคนแทบไม่ได้มีการศึกษาหรือมีการศึกษาน้อย
แต่คนทั้งสองแบบก็ได้สร้างคุณงามความดีในสังคม
และสร้างตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน.....

ทุกอย่างมันมีจุดที่เรียกว่ากึ่งกลางอยู่  
หรือจะเรียกว่าทางสายกลางก็ได้

หากขาดปัญญา แต่ถ้ายังมีความอดทนความเพียรพยายาม 
ก็จักประสบกับสิ่งที่ตนเองต้องการได้

ถ้ายังมีความอดทนอยู่แม้จะขาดซึ่งปัญญา 
แต่ยังมีความเพียรพยายาม 
ไม่นานย่อมเกิดปัญญาจากความอดทนนั้นได้เอง

"มีคำกล่าวของท่านผู้รู้ว่า มีปัญญาเหมือนมีทรัพย์อยู่นันแสน 
นั้นถูกต้องแน่นอน"


"รู้จักอดทนดีกว่ามีปัญญาแต่ขาดความอดทน 
เพราะจะสร้างความฉิบหายให้กับตัวเอง และผู้อื่นได้ง่ายๆ"

เพราะฉะนั้น คนที่มีคววามอดทนความพยายาม แม้พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็สรรเสริญไว้ในพระบาลีว่า

"วิริเยน ทุกขะมัจเจติ แปลว่า คนเรา จะล่วงพ้นจากความทุกข์คือปัญหาอุปสรรค์ทั้งมวลได้ ก็เพราะอาศัยความเพียรความพยายาม"

ถ้าเราเป็นคนที่มีทั้งปัญญามีทั้งความอดทนนี่
จะเป็นคนที่ดูสุขุมสง่างามในที่ท่ามกลางที่ทั้งปวง

โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหรือยศฐาบันดาศักดิ์ใหญ่โต
ก็ได้รับความเคารพนอบน้อมที่ออกมาจากใจมากกว่า
และไม่มีข้อแม้ภายในใจอีกด้วย


หลวงพ่อบอกว่า 

ขัดคอคน มันไม่เหมือน ขัดคอมหม้อนะ 

เพราะขัดคอหม้อน๊ะ มันขาว
แต่ขัดคอคนนี่....
(ลองคิดดูนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ถ้าไม่มีใครรู้จักคำว่าอดทน
หรือการยอมกัน ยอมรับฟังกันมากขึ้น ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นผู้ใหญ่หลาย ๆคน เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคมให้เด็กๆ อย่างพวกเรา และลูกๆหลานๆ ได้เห็นอย่างมาก ก็เห็น ๆกันอยู่
กับปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจับันเป็นตัวอย่าง ในทุกสังคมด้วย ไม่ใช่ฉะเพราะการเมืองนะครับ ในทุกวงการเลย
คำว่าให้อภัยกันเถอะ เหมือนปู่ย่า ตายายเรา ในสมัยก่อน มันจะไม่มีให้เราเห็นเชียวหรือ ใครจะพูดหรือบอกว่า คนสมัยก่อนโง่นี่ ผมว่า ผมก็เป็นคนสมัยก่อนใน 200 ปีข้างหน้า ที่เราก็เพิ่งผ่านมาจาก 200ปีและก็เพิ่งมีไฟฟ้าใช้มาร้อยกว่าปี นี่เอง 

ปู่ย่า ตายาย เราเป็นอดีตจาก 200ปีที่ผ่านมา และเราก็จะเป็นอดีตในอีก200ปี ในวันข้างหน้าเช่นเดียวกัน
ฉะนั้นวันนี้ เวลานี้ นาทีนี้ เราจะทำในสิ่งที่เราได้ และทำด้วยใจทีใฝ่ในคุณธรรม มีหนทาง ก็มีจุดหมาย ถ้าไม่ออกเดิน ก็ไปไม่ถึง แม้หนทางจะยังเหลืออีกยาวไกล ถ้าหากเรามีกำลังใจจะไกลแค่ใหนก็จะสั้นลง
เมื่อเริ่มออกเดิน เราก็จะไปถึงในสักวัน 
หนทางหนึ่งพันหลี้ ย่อมมีก้าวแรกเสมอ.)
คิดอย่างไรบ้างครับ?
สำหรับการให้สติของหลวงพ่อ
  • Unordered List

  • Contact us